ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #มันยังไม่จบ ! เพื่อไทยดิ้นปัดข่าวพจมานคุมทัพ

#มันยังไม่จบ ! เพื่อไทยดิ้นปัดข่าวพจมานคุมทัพ

28 September 2020
538   0

    เมื่อวันที่ 27 ก.ย.63นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 กล่าวถึงสถาน การณ์ทางการเมืองในเวลานี้ ว่า กรณีที่ประชุมรัฐสภาโหวตเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 30 วัน โดยไม่เอาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับ เป็นการสมคบคิดกันล่วงหน้าของรัฐบาลกับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นอกจากจะแสดงถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นข้อพิสูจน์ว่า พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทำผิดสัญญาหักหลังประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่เก็บรายงานการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ไว้ในลิ้นชัก ซื้อเวลาปฏิรูปประเทศถึง 20 ปี โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจ ตั้งกรรมการมามาหลายชุดสุดท้ายเชื่อว่าไม่ต้องการปฏิรูปอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง6ฉบับ อย่างคาดไม่ถึง ก็ชัดเจนแล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่สนใจเสียงเรียกร้องของประชาชนทุกภาคส่วนที่เสนอแนะทางออกจากความขัดแย้งและวิกฤติทางการเมืองด้วยความหวังดีมาโดยตลอด

“ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัส พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีเครดิตหลงเหลืออยู่เลยจึงไม่มีใครอยากร่วมทีมเศรษฐกิจด้วยดังนั้นทุกอย่างจะต้องจบลงโดยเร็ว เพราะยิ่งยืดเยื้อประเทศจะเสียหายประชาชน จะยิ่งลำบากจากปัญหาปากท้องพล.อ.ประยุทธ์ ยังล้มเหลวในการปกป้องสถาบันให้เป็นที่เคารพของราษฎร ถือเป็น ความผิดที่ไม่สามารถอภัยให้ได้ ในเมื่อไม่แคร์ต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน ก็ป่วยการที่จะเสนอแนะอะไรอีก จึงมีความจำเป็นที่คนรุ่นใหม่ ที่ไม่เห็นแสงสว่าง และอนาคตจะต้องรวมตัวออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยน แปลงโดยไวและขอเรียกร้องประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกับกลุ่มนักศึกษาประชาชนขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมต้องไม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเสียแนวร่วมแล้วยังจะทำให้เกิดการเผชิญหน้านำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด และขอให้เคลื่อนไหวด้วยสติปัญญายึดแนวทางสันติวิธีอย่างแท้จริงแล้วจะทำให้มีพลังเอาชนะเผด็จการได้”

นายอดุลย์ กล่าวอีกกว่า เหตุการณ์ที่พรรคพลังประชารัฐ ไม่โหวตญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการหักหลังพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันอย่างไร้มารยาท โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย ที่มีจุดยืนเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน จึงเกรงว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์พฤษภา’35 ที่พรรคร่วมรัฐบาลหักหลังประชาชนไม่เอานายกฯที่มาจากการเลือกตั้งจนเป็นชนวนเหตุนำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชนและเกิดการนองเลือดในที่สุด ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยถอดชนวนความรุนแรงทางการเมืองด้วยการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล แล้วร่วมกันผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ 272 ปิดทางส.ว.เลือกนายกฯ แล้วเลือกนายกฯ ที่เหลืออยู่ตามรัฐธรรมนูญ ก่อนจะตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เสร็จแล้วก็ยุบสภาให้มีการเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเชื่อว่าแนวทางนี้จะนำพาประเทศชาติออกจากวิกฤติประเทศในทุกด้านได้

ส่วน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigromระบุว่า…#ราชอาณาจักรไทย ใครจะไปคิดว่า วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเร็วมาก และแนวโน้มสังคมจะกลับคืนสู่ความสงบสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังที่เข้มแข็งของประชาชนทุกฝ่าย ที่ช่วยกันรวมพลังปกป้องสถาบันหลักของชาตินั่นคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ขอให้พวกเราติดตาม สถานการณ์กันต่อไปครับ และดูกันว่าสามอำมหิต จะจบกันอย่างไร?? นี่แหละประเทศที่มีสิ่งศักสิทธิ์ปกป้อง เรียกว่าราชอาณาจักรไทย!!!

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคแพแตก หลังการลาออกของหัวหน้าพรรค ประธานยุทธศาสตร์ฯ และกรรมการบริหารพรรคว่า การลาออกของบุคคลในพรรคไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งแตกแยก โดยรักษาการหัวหน้าพรรคได้เรียกประชุมในวันที่ 28 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณากำหนดการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีวาระสำคัญคือ การเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งบุคคลที่สมาชิกไว้วางใจให้มาบริหารพรรคก็จะสามารถขับเคลื่อนพรรคให้เดินหน้าต่อไปได้ ส่วนการปล่อยข่าว คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จะเข้ามาบริหารพรรค น่าจะเป็นการคาดการณ์กันไปเอง เพราะการบริหารพรรคจะต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค ตามกฎหมายเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกฎหมาย รวมถึงระเบียบข้อบังคับพรรคกำหนดให้แจ้งวันประชุมใหญ่ล่วงหน้าแก่สมาชิกพรรคทั่วประเทศล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ดังนั้นการประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทย จะมีขึ้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้

ขณะที่ อีสานโพล จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า นักการเมือง/ผู้บริหารภาครัฐแห่งปี อันดับที่ 1 เป็นของ คุณหญิงสุดารัตน์ ร้อยละ 25.1 รองลงมาคือ นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 23.9 และพล.อ.ประยุทธ์ร้อยละ 12.6

ด้าน “นิด้าโพล” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3” โดยถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯในวันนี้พบอันดับ 1 ร้อยละ 54.13 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 2 ร้อยละ 18.64 ระบุเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 3 ร้อยละ 10.57 ระบุเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะมีประสบการณ์การทำงานบริหารงานที่ผ่านมาได้ดี พูดจริง ทำจริง และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนนิยม ทางการเมือง พบว่า ผู้ที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกฯมีสัดส่วนลดลง ส่วนผู้สนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นขณะ ที่พรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนพบอันดับ 1 ร้อยละ 41.59 ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใด อันดับ 2 ร้อยละ 19.39 ระบุเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 12.70 ระบุเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 4 ร้อยละ 12.39 ระบุเป็น พรรคพลังประชารัฐ

ส่วน ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจ เรื่องมหามิตรต่างชาติกับการแทรกแซงชาติไทย โดยเมื่อถามถึงประสบ การณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี40พบว่า ร้อยละ81.5ระบุไม่เคยอ่าน เมื่อถามถึง ประสบการณ์การอ่านรัฐธรรมนูญของประชาชนปี60ร้อยละ71.7ระบุไม่เคยอ่าน เมื่อถามว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเพราะฟังคนอื่นว่ามาหรืออ่านด้วยตนเองร้อยละ85.3ระบุว่าเพราะฟังคนอื่นเขาว่า มาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนร้อยละ95.6ระบุ ถ้าจะแก้รัฐธรรม นูญ แก้ได้บางมาตรา แต่ห้ามแตะต้องล่วงละเมิดหมวด1และ2เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เมื่อถามว่า ต่างชาติแทรก แซงไทย เช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญการชุมนุมม็อบต่างๆพบร้อยละ75.1ระบุว่ามีต่างชาติแทรกแซง

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. กรณีก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง กกต.ได้รับรายงานกรณีมีเหตุควรสงสัยหรือความปรากฏว่า นางธนิดา ปิยวัชภาสุ ผู้ถูกร้องที่ 1 ตัวแทนหรือหัวคะแนนของ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ถูกร้องที่ 2 กระทำฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) คือ จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่นายเผดิมชัย

ทั้งนี้ กกต.พิจารณารายงานการไต่สวนและพยานหลักฐานความว่า การให้ถ้อยคำของผู้แจ้งและสามีผู้แจ้งมีความขัดแย้งกันกับข้อมูลที่ปรากฏในบันทึกการรับแจ้งเหตุ พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนจึงมีน้ำหนักน้อย ไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ตำบลท่าตลาด ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าไม่พบเห็นการแจกเงิน หรือบุคคลใดช่วยผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดหาเสียงอีกทั้งจากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ช่วยหาเสียงของผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่ปรากฏชื่อของผู้ถูกร้องที่ 1 และจากการตรวจสอบธนบัตรของกลางที่ได้มาพร้อมกับบันทึกการรับแจ้งเหตุ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานผลการตรวจเก็บวัตถุพยานไม่พบลายนิ้วมือแฝงของผู้ที่ถูกอ้างว่าเกี่ยวข้องกับธนบัตรดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง