ข่าวประจำวัน » พ่อเดินทางจากบ้านนอกไปหาลูกชายคนโตแต่ถูก “รังเกียจ” ตัดสินใจไปหาลูกคนเล็ก คาดไม่ถึงชะตาชีวิตจะพลิกผันราวฟ้ากับเหว!!

พ่อเดินทางจากบ้านนอกไปหาลูกชายคนโตแต่ถูก “รังเกียจ” ตัดสินใจไปหาลูกคนเล็ก คาดไม่ถึงชะตาชีวิตจะพลิกผันราวฟ้ากับเหว!!

10 July 2017
539   0

น้ำแข็งต้องบอกเลยว่าเว็บไซต์ต่างประเทศได้มีการแบ่งปันเรื่องราวของครัวหนึ่งว่า..นายหม่าได้เดินทางเข้าไปในตัวเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากเขาไม่ได้เห็นหน้าลูกชายทั้งสองคนมากว่าสองปีแล้ว ลูกชายคนโต หม่าจวิน เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล เขาสามารถสอบเข้าทำงานรับราชการได้ และได้แต่งงานกับลูกสาวของหัวหน้า
แต่สองปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้รับข่าวคราวของลูกเลย ส่วนลูกชายคนเล็ก หม่าจง ค่อนข้างไม่เอาไหน หยุดเรียนกลางคันแล้วไปรับราชการทหาร หลังถูกปลดประจำการก็ไปเป็นพ่อครัวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขารู้ดีว่าเพราะลูกชายงานค่อนข้างยุ่งจึงไม่ได้กลับบ้านเลย
เขาคิดถึงลูกชายมากจึงมาหาถึงในตัวเมืองด้วยตัวเอง เขามาหาลูกชายคนโต โดยยืนรออยู่ที่หน้าสำนักงาน จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง เขาจึงเห็นลูกชายเดินออกมาจากตัวอาคารพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน ลูกชายสวมชุดสูทสีดำ มีผู้หญิงหน้าตาดีเดินออกมาด้วย เขาจึงรีบเดินตรงไปหาลูกชายด้วยความดีใจ เขามีความสุขมากที่ได้เห็นหน้าลูกสะใภ้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
แต่เมื่อทุกคนเห็นนายหม่าในสภาพสวมใส่เสื้อผ้าขาด ๆ และยังห้อยกระเป๋าเก่าๆใบหนึ่ง แฟนสาวของลูกชายจึงพูดว่า “คนแก่คนนั้นเป็นใคร ? เขาเรียกชื่อคุณอยู่นะ” เมื่อลูกชายเห็นสภาพพ่อตัวเองจึงรู้สึกอาย เขาหันหลังกลับและพูดว่า “ที่รักเราไปกินข้าวกันที่เดิมไหม ? มีคนมาส่งของให้ผมพอดี เดี๋ยวผมตามไปเจอที่ร้านนะครับทุกคน”
หลังจากพวกเพื่อนของเขาเดินจากไปสักพักแล้ว เขาจึงหันหน้ากลับมาคุยกับพ่อว่า “พ่อมาที่นี่ทำไม ไม่บอกก่อนเลย ถ้าแฟนผมรู้อาจจะโดนบอกเลิกได้เลยนะเนี่ย” ทำให้พ่อเขารู้สึกตกใจ และพูดว่า “พ่อคิดถึงลูกทั้งสองคน ไม่เจอหน้ากันตั้งสองปี ไม่มีใครส่งข่าวคราวมาบ้างเลย แล้วคนเมื่อกี้เป็นแฟนลูกหรือเปล่า”
ลูกชายคนโตจึงพูดว่า “โธ่ พ่อ ! ถ้าคราวหน้ามาต้องบอกผมก่อนนะ ของที่พ่อเอามาด้วยผมไม่เอาหรอกนะ ในเมืองหาซื้อได้ทุกอย่าง ผมต้องไปก่อน เดี๋ยวจะถูกสงสัย” ลูกชายหันหน้ากำลังจะเดินจากไป แต่พ่อของเขาจับมือเอาไว้ก่อน พูดว่า “พ่อมาตั้งไกล ลองเปิดดูก่อนสิ ลูกอาจต้องได้ใช้มันนะ”
หลังจากนั้นลูกชายก็สะบัดมือออก พูดว่า “ผมต้องไปแล้วจริง ๆ ผมไม่เอาของฝาก เก็บไว้ให้น้องชายเถอะนะ” หลังจากนั้นเขาก็รีบเดินจากไปทันที หลังจากนั้นนายหม่าก็ได้แต่มองลูกชายที่เดินจากไป เขาถอนหายใจ ส่ายหน้า และเดินทางไปหาลูกชายคนเล็กต่อ หลังจากนั้นเพียงหนึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงที่ทำงานของลูกชายคนที่สอง เขาเพิ่งรู้ว่าลูกชายคนเล็กทำงานอยู่ในโรงแรม เขาเห็นลูกชายกำลังลงชื่อที่ป้อม รปภ. อยู่ เขาจึงรีบเดินไปหาลูกชาย ลูกชายทำสีหน้าตกใจมาก และไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าพ่อมาหาเขา เขาขยี้ตา จากนั้นก็รีบพาพ่อมานั่งข้างในป้อมยาม
“พ่อ ทำไมมากะทันหันล่ะ น่าจะโทรศัพท์มาก่อน ผมจะได้ไปรับพ่อ” ลูกชายพูดกับพ่อ “พ่อคิดถึงพวกแกสองคนเลยมาเยี่ยม เมื่อเช้าเพิ่งไปเจอพี่ชายแกมา เขายุ่งมาก พ่อเลยมาหาแกก่อน หนาวแบบนี้ทำไมใส่แค่ชุด รปภ. ตัวเดียวล่ะ ?” พ่อถาม เขาจึงตอบว่า “พ่อไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมเป็นทหารมาก่อน ผมบริหารร่างกายทุกวัน อากาศแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ดูรถคันนั้นสิ ผมเพิ่งซื้อมือสองมา 8000 หยวน (ราว 5 หมื่นบาท) จริง ๆ ผมอยากจะขับกลับไปเที่ยวที่บ้าน แต่พ่อมาหาก่อนก็ดีเลย เดี๋ยวคืนนี้ผมพาพ่อไปกินอาหารฝรั่งนะครับ พ่อน่าจะยังไม่เคยกินมาก่อน..”
จากนั้นเขาก็พาพ่อไปดูรถของเขา เขาดูดีใจมากที่พ่อมาหาเขา จนลืมตัวและทำตัวเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นั่นทำให้พ่อนึกถึงเมื่อ 6 ปีก่อนหน้านี้ ที่ลูกชายตัดสินใจหยุดเรียนหนังสือไป เพราะอยากให้ที่บ้านส่งพี่ชายเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนเดียว เขารักพี่และใจกว้างมาก พ่อก็รู้ดีเช่นกันว่าลูกชายคนนี้เชื่อฟังเขา
“พ่อร้องไห้ทำไม ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ผมกำลังทำงานหาเงินเลยไม่มีเวลากลับบ้านไปเลย ช่วงเทศกาลวันหยุดก็ได้ค่าตอบแทนสามเท่า ผมเลยไม่มีโอกาสกลับไปสักที ห้องเช่าของผมถึงจะเล็กหน่อยแต่ก็พอนอนได้สองคน พ่อมาอยู่กับผมก็ได้ จะได้มีเวลาเจอหน้าเราสองพี่น้องทุกวัน เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะพ่อ”
จากนั้นพ่อของเขาก็พูดทั้งน้ำตาว่า “ขอบคุณนะที่ลูกยังไม่ลืมพ่อ แค่นี้พ่อก็พอใจแล้ว จริง ๆ พ่อจะเอากระเป๋าใบนี้ให้พี่ชายแก แต่เขาไม่เอา งั้นลูกเอาไปแทนก็แล้วกัน” หม่าจง เปิดกระเป๋าเก่าใบนั้นดูก็พบว่าด้านในมีเงินจำนวนมาก ที่แท้ธุรกิจเลี้ยงสุกรของพ่อประสบความสำเร็จ พ่อได้กำไรมา 3 แสนหยวน (ราว 1.5 ล้านบาท) ตอนนี้มีสุกรเป็นหลักร้อยตัวแล้ว เขาจ้างคนงานมาช่วยดูแลจึงมีเวลาเข้าเมืองมาเยี่ยมลูก
เดิมทีเขาคิดว่าลูกชายอาจกำลังต้องการใช้เงิน จึงอยากให้กลับไปทำฟาร์มหมูด้วยกัน แต่ในเมื่อลูกชายคนโตรังเกียจพ่อ เขาจึงตัดสินใจยกฟาร์มให้ลูกชายอีกคนแทน ช่างน่าเห็นใจที่คนเมืองในสมัยนี้ ยังเห็นภาพลักษณ์ภายนอกว่าสำคัญกว่าแม้กระทั่งคนในครอบครัว
เวลาผ่านไปหลายปี หม่าจงก็ได้รับช่วงดูแลกิจการต่อจากพ่อ ฟาร์มสุกรก็ทำรายได้อย่างมั่นคงตามความต้องการของผู้บริโภคในเมืองที่มากขึ้นทุกวัน ส่วนพี่ชายคนโตยังคงทำงานเป็นข้าราชการอยู่ เขามักสร้างภาพหลอกลวงคนอื่นว่าตนเองใหญ่โต จนวันหนึ่งเขาถูกแฟนสาวจับได้และเลิกรากันไป จนเกือบเสียงานไปอีกด้วย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงบุญนำพาและวาสนาดีก็ตาม แต่จงอย่าลืมกำพืดตัวเองที่เติบโตมา