พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวกับข้าราชการและประชาชนที่มาต้อนรับที่ลานหน้าวัดป่าเลย์ไลย์วรวิหาร จ.สุพรรณบุรี ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้มีจำกัด ขออย่าหนี เลี่ยง หรือโกงภาษี ผมพยายามทำทุกอย่างไล่บี้ทุกวัน แก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีให้ได้ครบตามเป้า การปรับขึ้นภาษีใหม่ไม่ได้หวังรีดนาทาเร้นใคร ไม่ว่าจะสูบบุหรี่หรือกินเหล้า ถึงอย่างไรคนก็กิน แต่พอขึ้นภาษีก็บอกว่ารัฐบาลตูดขาด
ซึ่งจริงๆแล้วการปรับขึ้นภาษีคิดมากี่รัฐบาลแล้ว เคยทำได้หรือไม่ หากไม่ทำวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจะสกัดคนหน้าใหม่ได้ หลายเรื่องที่รัฐบาลนี้ทำได้ โดยที่ทุกรัฐบาลทำไม่ได้ เพราะกลัวเสียคะแนน แต่ผมไม่เคยกลัวเสียคะแนน”
ส่วน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก็ต้องพยายามเก็บภาษีให้ได้ แต่ไม่ใช่เป็นการไปรีดภาษี เพียงต้องการมีเงินพัฒนาพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน พอได้แล้ว สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเป็นตัวชี้วัด ที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้นอย่างไร อย่าคิดแบบเดิม ความไม่ทั่วถึงความไม่เป็นธรรม ซึ่งมีคนใช้วาทกรรมเหล่านี้อยู่แล้ว
รวมถึงเรื่องการทุจริต ผมยืนยันทุกครั้งว่าให้หาและฟ้องมา พร้อมจะสอบสวนให้ทุกเรื่อง รัฐบาลอยู่ระดับนโยบายข้างล่างเป็นคนทำงาน ทุกคนต้องระวังตัวเอง ไม่ใช่โยนมาแต่ข้างบน เพราะข้างบนแต่ละวันมีเรื่องให้ทำมหาศาล ทั้งของเก่าและของใหม่
“ตรวจสอบกันทุกวัน เป็นเหตุให้ผมพูดเยอะหน้าตาถึงเป็นแบบนี้ หน้าตาเป็นคนขี้โมโห แต่ถ้าอยากอยู่สบาย ก็ให้หมด”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 3 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่ท่านเห็นบ้านเมืองสงบหรือไม่ มีประท้วงหรือไม่ แล้วอยากให้มีหรือไม่ ถ้าอยากให้มีก็ไปหาคนอื่นมาให้มี แต่ตนไม่ให้มี วันหน้าและทุกรัฐบาลก็ต้องไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ ต้องรับฟังเรื่องของประชาชนเพื่อนำมาแก้ไข
วันนี้มีแต่พูดกันไปมา กล่าวหาว่ามีโครงการทุจริต ให้หาหลักฐานมา เราต้องพูดด้วยหลักฐาน โลกกำลังเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี คอมเม้นต์ กดไลท์กันเยอะแยะ ถ้าสร้างสรรค์ผมไม่ว่า แต่ถ้าด่ากันไปมาขอถามว่าแบบนี้จะปรองดองได้หรือไม่ ด่าแบบไม่มีเหตุผล ผมโกรธเขาไม่ได้ เพราะเขายังไม่เรียนรู้ ไม่ได้ดูถูกนะ เพียงแต่เขาไม่เรียนรู้ว่าเขาอยู่อย่างไร
วันนี้เราต้องเอาประวัติศาสตร์มาเป็นตัวอย่างเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ปัจจุบันกำลังสร้างเสถียรภาพให้ต่างประเทศไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ใช่มาตีจุดอ่อนกันอยู่แบบนี้ พูดไม่มีเลือกตั้งกันอยู่นั่น มันเสียเวลาหรือไม่ ทำไม ไม่เอาวิกฤตที่ผมมา ซึ่งผมถือว่าเป็นวิกฤตของครอบครัวผม แต่ผมไม่เคยนึก เพราะเห็นพวกท่านเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เป็นทหาร หลายคนเป็นทหารเป็นนักการเมือง และเป็นข้าราชการ อยู่กับสถานการณ์แบบนี้มาตลอดชีวิต จนเกษียณ จนตาย ก็ยังเป็นแบบเดิม เราต้องการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดจากคนทั้งประเทศ”
Cr: วาสนา นาน่วม
สำนักข่าววิหคนิวส์