ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #ธาริตโดนอีกคดี! ป.ป.ช.ฟันยื่นบัญชีฯเท็จ หลังยึด 346

#ธาริตโดนอีกคดี! ป.ป.ช.ฟันยื่นบัญชีฯเท็จ หลังยึด 346

9 September 2017
673   0

           อิศรา – ธาริต เพ็งดิษฐ์ป.ป.ช.ชี้มูล‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’อดีตอธิบดีดีเอสไอ อีกคดีปมยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินเท็จหลังฟันรวยผิดปกติ 346 ล.ต้นปี 59 ถูกสำนักเลขาฯนายกฯ ไล่ออกจากราชการ ศาลฎีกาฯนัด ครั้งแรก 9 พ.ย.60 

            สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.)ได้มีมติชี้มูลนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จอีกคดีภายหลังมีมติชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยจำนวน 346 ล้านบาทเมื่อช่วงต้นปี 2559 ล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาครั้งแรกหรือนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 9 พ.ย.2560 (หมายเลขคดีดำที่ อม.177/2560)เท่ากับนายธาริตถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้ว 2 คดี สำนักข่าวอิศรารายงานว่านอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมกรณีกล่าวหานายธาริตร่ำรวยผิดปกติอีกหนึ่งสำนวนโดยรับเรื่องมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2559 
           ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2560 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่หนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีลงโทษไล่นายธาริตออกจากราชการแล้ว ระบุว่า เรื่องนี้ดำเนินการตามที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายธาริต ร่ำรวยผิดปกติกว่า 346 ล้านบาท และดำเนินการตามมาตรา 80 (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ร.บ.ป.ป.ช.) ที่กำหนดว่า หากมีมติแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการสั่งลงโทษไล่ออก หรือปลดออก โดยถือว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ แต่เดิมนายธาริต เป็นอธิบดีดีเอสไอ ต่อมาถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตามลำดับ เรื่องนี้จึงเป็นอำนาจของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาที่จะเป็นผู้ออกคำสั่ง (ปัจจุบันคือ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี) 
           สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับเรื่องจากสำนักงาน ป.ป.ช. ในช่วงปีที่ผ่านมา และตรวจสอบประเด็นดังกล่าวพร้อมกับหารือสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาโดยตลอด เพื่อให้เกิดความชัดเจน และเกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา โดยหน่วยงานข้างต้นให้ความเห็นสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันว่า กรณีนี้อาจเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาลงโทษตามที่กำหนดในมาตรา 80 (4) แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. โดยไม่ต้องดำเนินการตามกฏหมายอื่น ประกอบกับที่ผ่านมามติคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ว่า การทุจริตต่อหน้าที่ราชการเป็นความผิดร้ายแรง ควรลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2560

สำนักข่าววิหคนิวส์