ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #ดร.เทอดศักดิ์ ประกาศ !! เริ่มมหากาพย์หวย 30 ล้านภาค 2

#ดร.เทอดศักดิ์ ประกาศ !! เริ่มมหากาพย์หวย 30 ล้านภาค 2

3 March 2018
1198   0

ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา โพสข้อความระบุว่า เริ่มมหากาพย์หวย 30 ล้านภาค 2 ในคดีนี้ในระยะแรกคนไทย ได้เห็นการเคลื่อนไหวของทนายความพาอดีตนายตำรวจยศร้อยโท และคุณนายเมียนายตำรวจกาญจนบุรี ที่บอกกับสื่อว่าให้เรียกว่า ลุง ป้า ที่อ้างว่าถูกจนท.ตร.ชั้นผู้ใหญ่ กลั่นแกล้งให้รับโทษ เพื่อแย่งชิงหวย 30 ล้าน ที่ตนเองถูกรางวัล โดยมีการเดินสายออกสื่อมากกว่า 4 เดือน

จนมีการมาร้องเรียนยังกองปราบปราม กล่าวหาอีกฝ่ายว่าแจ้งความอันเป็นเท็จ และจนท.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มุ่งเอาผิดผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรี รองผู้กำกับ และร้อยเวร ครู จนได้รับความสนใจจากสื่อสารมวลชนอย่างกว้างขวาง

โดยสอบสวนกลาง และกองปราบ ได้นำโทรศัพท์ของครู มาถอดการสนทนา แต่อีกฝ่ายอ้างล้างเครื่องไปแล้ว จนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งย้ายคดี ไปที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โดยมีการตั้งคณะสอบสวนกว่า 30 นาย ให้ดำเนินการสอบสวนอล่างละเอียด และผลการชี้คดียังคงให้ดำเนินคดีกับ อดีตนายตำรวจ ผู้นำฉลากไปขึ้นเงิน ในคดียักยอกทรัพย์ และรับของโจร มีพยานในคดีทั้ง 2 ฝ่ายรวม 42 ปาก

ทำให้อดีตนายตำรวจและทนายความไม่พอใจ เดินหน้าร้องเรียนสอบสวนกลาง ขอโอนคดีไปยังสอบสวนกลาง และเตรียมจะร้องนายกรัฐมนตรี อ้างตร.ท้องที่ กองบังคับการ กองบัญชาการภาค 7 กระทำการเป็นขบวนการ ใส่ร้ายให้ได้รับโทษทางอาญา จนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งย้ายคดีมาสอบสวนกลาง ให้กองปราบปราม รับผิดชอบคดี จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

ต่อมาได้มีการเชิญผู้เสียหายในคดีออกสื่อต่างๆ ซึ่งสิ่งที่สังคมได้เห็นความจริงอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน คือ ลุง ที่ว่าถูกกลั่นแกล้ง เป็นอดีตนายตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านการลงบันทึกประจำวัน เป็นนายตำรวจหัวหน้าสิบเวร ทำงานเป็นตร.กว่า20 ปี จนกระทั้งเกษียณอายุราชการ

ที่สำคัญไม่สามารถยืนยันได้ว่าสลากซื้อมาจากแม่ค้าคนใด แต่กลับกันมีการซื้อ ขาย ลากเกิดขึ้นจริง โดยยืนยันจากแม่ค้าทุกปากว่า ครูเป็นเจ้าของสลาก มีต้นขั้วสลากพยานแวดล้อมชี้ชัด ที่มาตั้งแต่ต้นจากกองสลากชัดเจน โดยอดีตนายตำรวจ มีการกดดันพยาน แจ้งจับแม่ค้าที่ขายหวย ถึง 2 คดี ว่าขายหวยให้นายตำรวจเกินราคา ทั้งที่ก่อนหน้านั่นบอกว่าจำหน้าแม่ค้าไม่ได้ แต่แม่ค้ายืนยันว่าขายหวยเกินราคาจริง แต่ขายให้กับครู จึงถูกเปรียบปรับในคดีแรกคนละ5000 บาท ต่อมาทนายความอดีตนายตำรวจก็ไปแจ้งจับอีกในข้อหาเดียวกัน แม่ค้าก็ยืนยันว่าขายให้ครูมิได้ขายให้อดีตนายตำรวจ

สิ่งที่คนไทยที่คิดตามข่าวนี้อย่างใจจดใจจ่อ ลุ้นจนมีการตั้งโต๊ะพนันขับต่อคือ เพิ่งมาทราบก็คือ ศาลแพ่งได้ออกคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน และสั่งอายัดเงินที่เหลือไว้ทั้งหมดเกือบ 24 ล้าน อดีตนายตำรวจเบิกไปแล้ว 5 ล้าน โดยอดีตนายตำรวจไม่สามรถที่จะเอาหลักฐานไปแสดงว่าซื้อสลากมาจากแม่ค้าคนใด

กองปราบสอบพยาน 3 ปากสำคัญไปเค้นสอบอย่างหนักถึง 18 ชม. บังคับให้รับสารภาพว่า มะโนขึ้นมา ไม่ได้ถูกหวยจริง พยานทุกปากให้การเช่นเดิมว่าขายสลากให้ครู

จนมีการปล่อยคลิปเสียง บางช่วงบางตอนออกทางสื่อว่าไม่ได้มีการถูกหวยจริง และปล่อยเอกสารลับ อ้างคำสารภาพของตร.ที่ทำคดีให้กลมกลืน ต่อมาจึงย้ายตร.ที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดออกนอกพื้นที่

จากความสนใจของคนไทย ทำให้คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ กระแสมาในเชิงลบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาจพาลไปยังรัฐบาลขาลงจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และนาฬิกาอันโด่งดัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงแถลงจบในคดีนี้ด้วยตนเอง โดยมีหลักสำคัญคือ “ใครถือสลากไว้ในมือยอมมีสิทธิเหนือกว่า” ส่วนใครเจ้าของสลากตัวจริงนั้นตอบไม่ได้ ต้องไปให้ศาลตัดสิน

แล้วขอศาลออกหมายจับผู้เสียหายในคดี ที่เคยได้รับรางวัลครูดีเด่นในหลายปีซ้อนในข้อหาแจ้งความเท็จ ก่อนหน้านี้การข่มขู่ออกหมายจับครูและแม่ค้ารายวัน ติดต่อกันนับเดือน

ทนายความและนายตำรวจเปิดแถลงตั้งโต๊ะแสดงความพอใจการทำงานของกองปราบปราม สอบสวนกลาง ขู่เดินหน้าเอาผิดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 และกองบังคับการ โรงพัก รวมทั้งครู ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขู่จะฟ้องพยานทุกคนในคดี เรียกร้องเงินนับล้านบาทต่อคน

ตลอด 2 วันในการควบคุมตัวในกองปราบ มีการเค้นบีบให้ยอมรับสารภาพ ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีการเขียนคำให้การใหม่ และชี้ให้เซ็นต์สารภาพ แต่ครู และแม่ค้าที่ตกเป็นผู้ต้องหา ไม่ยอมเซ็นต์รับสารภาพ ในขณะที่พยานคนอื่นๆก็ยังให้การเช่นเดิม ว่าหวยเป็นของครู ขายให้ครูจริง แต่ก็มีการปล่อยข่าว ผ่านสื่อมวลชนว่ารับสารภาพและจะคัดค้านการประกันตัว ออกมาทางสื่อมวลชนหากไม่รับสารภาพ โดยขู่ว่าหากรับสารภาพ โทษจะเบาจะไม่กระทบต่อตำแหน่งข้าราชการ ระดับซี8 อย่างมากแค่รอลงอาญา แต่ครู แม่ค้ายืนยันปฏิเสธ

จนกระทั้งครบกำหนดฝากขัง กองปราบส่งตัวไปฝากขังยังศาล ศาลให้ประกันคนละ 1 แสนบาท ทนายและอดีตนายตำรวจเดินสายออกสื่อประกาศชัยชนะ โดยขอให้ครูยอมรับสารภาพจะอโหสิกรรมให้ ประกาศจะนำหมายจับไปยื่นต่อศาลของเพิกถอนเงินมาใช้

คดีนี้ในระยะเวลา 4 เดือน คนไทยคงได้เห็นอะไรมากมายระหว่างความเชื่อกับความจริง ที่ความจริงจะค่อยๆปรากฎมาในภายหลัง ความเชื่อนั้นมาก่อนเสมอ

ความจริงที่สำคัญคือ ตร.ต้องฟ้องในคดีนี้ในข้อหาแจ้งความเท็จก็เพราะ คดีแพ่งยังไม่สิ้นสุด ไม่สามารถที่จะชี้ได้ว่าใครคือเจ้าของหวย แต่เชื่อว่า “คนถือสลากมีสิทธิเหนือกว่า” แต่ก็โอกาสสูงที่พนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง

เพราะคดีแพ่งยังไม่ได้ชี้ชัดว่าใครคือเจ้าของทรัพย์ตัวจริง ในชั้นศาลแพ่ง หากยกฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง คดีก็จะย้อนกลับไปที่อดีตนายตำรวจที่ไปกล่าวหาครูว่าแจ้งความเท็จ ฐานให้โทษผู้อื่นรับโทษในคดีอาญา

หากพิจารณาในคดีช็อคโลกนี้อย่างมีสติ จะเห็นว่า ชุดความจริงมีสิ่งเดียวคือ “คนหนึ่งชี้ชัดว่าซื้อสลากมาจริง อีกคนหาคนขายสลากให้ไม่ได้” เมื่อคดีสิ้นสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงจำเป็นต้องย้ายตร.กลับยังภูมิลำเนา ในตำแหน่งเดิมในทันที เพราะคดีโอนย้ายมาแล้ว ชี้คดีแล้ว ส่วนการจะตั้งกรรมการสอบสวนนั้น จำเป็นต้องรอคำตัดสินของศาลแพ่งก่อน ว่าใครเป็นเจ้าของสลากตัวจริง

แต่ความลึกซึ้งในคดีนี้คือเกมส์กลบข่าว อันเป็นพื้นฐานของยุทธศาสตร์การเมืองการปกครอง ที่รัฐบาลขาลงที่แทบหาทางออกไม่ได้ ทั้งนาฬิกา และแหวน รวมทั้งโครงการอื่นๆอีกหลายโครงการ ได้อย่างแยบยล ที่ต้องลงมาเล่นเอง เพราะการจับอาบอบนวด ที่ยิ่งสาว ยิ่งกำลังพาลกลับไปหาเจ้าของนาฬิกา ไม่สามารถกระชากความสนใจได้ในระยะยาว เหมือนศึกชิงหวย30ล้าน

หลักสำคัญของชาติที่เกี่ยวพันในคดีนี้ คือ กลบข่าวการเมืองที่กำลังร้อนแรง มีการก่อวินาศกรรมในภาคใต้นับสิบจุด ม๊อบพระ และความพยายามก่อเหตุเผาเมืองรอบที่ 2 ทั้งการเจรจาที่สิงคโปร์ก็ล่มเหลว เพราะเรียกร้องเงื่อนไขสูงเกินไป จนเป็นที่มาของการอายัดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี และจ่อเอาผิดสั่งฟ้องลูกโอ๊ค คดีทุจริตกรุงไทย

คดีหวย 30 ล้านมหากาพย์ในภาคที่ 1 ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ต่อไปมหากาพย์ ภาค 2 กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมีระบบ ที่จะพิสูจน์ความจริง หักล้างความเชื่อในที่สุด “เจอกันที่กาญจนบุรี” การทำข่าวสืบสวนสอบสวนในมิติใหม่ กำลังจะเริ่มขึ้น แล้วจะรู้ว่ามันเหมือนคดีครูจอมทรัพย์ อย่างกับแกะ อันจะลากเกมส์ไปได้สักอีก 15 วัน ต่อลมหายใจเฮือกยาวๆให้รัฐบาลได้อีก 1 ยก กระมัง….

การทำความดีทำยาก แต่ต้องทำ ดั่ง(พระบรมราโชวาทพระราชทาน ในหลวงในรีชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สวนอัมพร 14 สิงหาคม 2525)

“การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดี”

สำนักข่าววิหคนิวส์