ดร.สุกิจ พูลศรีเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ได้โพสข่อความระบุว่า กรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 25 ปี หรือ “กรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 25 ปี หรือ “ลันลาเบล” พริตตี้สาวสวยที่ถูกพบเป็นร่างไร้วิญญาณบนโซฟาในล็อบบีคอนโดมิเนียมย่านตลาดพลู นั้น
น้ำอุ่นให้การต่อพนักงานสอบสวน โดยให้การภาคเสธ แต่ยอมรับข้อเท็จจริงตามกล้องวงจรปิดว่าเป็นการกระทำของตนเอง แต่ไม่ทราบว่า “ลันลาเบล” ตายแล้ว และให้การปฎิเสธว่า ไม่ได้ข่มขืนนั้น เป็นข้อเท็จจริงได้จากการแถลงข่าวของตำรวจ
ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาธนบุรี ว่า น้ำอุ่นได้กระทำความผิด(๑)ฐาน กักขังหน่วงเหนียวเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย(๒) พาไปเพื่อกระทำอนาจาร
และกระทำอนาจาร ศาลออกหมายจับให้ ตำรวจนำหมายศาลมาจับกุมจำเลย
สอบสวนแล้วนำไปฝากขังและคัดค้านการประกันตัว นั่น
ทั้งนี้สังคมกังขาว่า ในขณะที่ น้ำอุ่น อุ้ม “ลันลาเบล” ออกจากงานปาร์ตี้ มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่อยู่ จะกักขัง หน่วยเหนี่ยวคนไร้สติได้อย่าไร

ใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย
ตำรวจทำผิด ตำรวจต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น แต่ระบบกฏหมายไทย
เป็นระบบกล่าวหาตำรวจได้สอบพยานหลักฐานแล้ว เชื่อว่าผู้นั้นกระทพผิด
ก็ต้องจับ แต่คดีขึ้นสู่ศาล เมื่อศาลสงสัย ก็ต้องปล่อย ทั้งนี้ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง เมื่อศาลมีเหตุสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้ผู้กระทำผิด
เหตุลักษณะคดี น้ำอุ่นกับ”ลัลลาเบล “นี้ พนักงานอัยการเคยฟ้องผู้ต้องหารายอื่น คล้ายกันว่า มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 288 แต่ศาลลงโทษ แต่ศาลฎีกาลงโทษผู้กระผิดฐาน พยายามข่มขืน และกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ที่นี้เรามาดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5729/2556 ได้วางหลักไว้ว่ จำเลยที่ 1 เจตนาฆ่านางสาวเครือวัณ ผู้ตาย ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง บัญญัติว่า “การกระทำโดยเจตนา ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น” วรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้”
ดังนั้น การที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าได้นั้น จำเลยที่ 1 ต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 คือ (1) ผู้ใด (2) ฆ่า และ (3) ผู้อื่น กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ต้องรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการ “ฆ่า” และรู้ด้วยว่าวัตถุแห่งการกระทำเป็น “ผู้อื่น” (หมายความว่าผู้อื่นนั้นยังมีชีวิตอยู่)
หากจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย (เป็นศพ) แล้วก็ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้อื่น คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุ แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายจนหมดสติ
แล้วนำไปทิ้งที่อ่างเก็บน้ำ โดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ฎีกายอมรับว่าขณะที่จำเลยที่ 1 นำผู้ตายไปทิ้งอ่างเก็บน้ำนั้นจำเลยที่ 1 สำคัญผิดว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว
ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงถือว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตายหาได้ไม่เพราะจำเลยที่ 1 มิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดอันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้
ทั้งนี้ ตามมาตรา 59 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 แต่กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
เเมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นพนักงานอัยการ พนักงานอัยการมีอำนาจให้พนักงานสอบสวน สน. บุคคโล แจ้งข้อหาน้ำอั่นเพิ่มเติมในฐานความผิดดังกล่าว
สำนักข่าววิหคนิวส์



