ภาพการรวมตัวของนักศึกษาและประชาชนจำนวนมหาศาลบนถนนราชดำเนิน ที่เรียกตัวเองว่า “ประชาชนปลดแอก” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะส่งเสียงไปยังรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมี 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน 1 ความฝัน ซึ่ง 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา ส่วน 2 จุดยืน คือ ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ และ 1 ความฝันคือ การมีระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งประกาศว่าหากรัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง พวกเขาก็พร้อมจะยกระดับการชุมนุม ทำให้หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าท่ามกลางสถานการณ์อันล่อแหลมอาจมีจุดเปราะบางที่จะนำไปสู่ความรุนแรง
นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก
“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามีแค่พลังของนักศึกษา ต้องมีภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย ซึ่งในการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็มีประชาชนร่วมชุมนุมไม่น้อย จำนวนนักศึกษากับประชาชนน่าจะพอๆ กัน ขณะที่กลุ่มนักเรียนก็เข้ามาร่วมมากขึ้น จากการประเมินสถานการณ์ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล จึงเชื่อว่าการชุมนุมในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้จะมีผู้ชุมนุมที่จะมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยมากกว่าวันที่ 16 ส.ค.อย่างแน่นอน” นายทัตเทพ กล่าว
ส่วนเรื่องที่หลายฝ่ายวิตกว่าจะเกิดความรุนแรงในการชุมนุมนั้น เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก ระบุว่า ทางผู้ชุมนุมได้มีการวางมาตรการป้องกันไว้แล้ว โดยเรายึดแนวทางการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ มีมวลชนอาสาที่ช่วยดูแลความปลอดภัย
ขณะที่ผู้ชุมนุมเองก็ช่วยกันสอดส่องเพื่อป้องกันไม่ให้มือที่ 3 เข้ามาสร้างสถานการณ์ นอกจากนั้น เรายังมีตำรวจในเครื่องแบบซึ่งเราได้ขอกำลังให้เข้ามาช่วยดูแลทุกครั้งที่มีการชุมนุม
“เชื่อว่าเราชุมนุมอยู่ในหลักการ ไม่มีอาวุธ ไม่มีการปะทะ เพราะฉะนั้นหากจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นย่อมไม่ได้มาจากผู้ชุมนุม หรือหากมีมือที่ 3 ความรับผิดชอบก็ต้องอยู่ที่รัฐบาลเช่นกัน” นายทัตเทพ ระบุ
ขณะที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มองว่า สถานการณ์ปัจจุบันนั้นเปราะบางและล่อแหลม แม้แต่การแสดงความเห็นทางวิชาการของอาจารย์หลายๆ ท่านก็ไม่อยากออกตัวเปิดหน้า เพราะอาจสร้างความไม่พอใจให้ทั้งภาครัฐและนักศึกษาที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่น
สำหรับการชุมนุมเคลื่อนไหวในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นโดยส่วนตัวในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์ในการชุมนุมทางการเมืองมาก่อนเห็นว่าจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องความรุนแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่นำไปสู่ความอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้มีประชาชนมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลมากขึ้น ขณะที่ผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชนนักศึษาเป็นกลุ่มที่เปราะบางในการควบคุมอารมณ์ จึงต้องระมัดระวังการกระทบกระทั่งซึ่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรง ดังนั้น ผู้จัดการชุมนุมต้องระมัดระวังสิ่งเร้าที่จะเข้ามากระตุ้นให้เกิดการกระทบกระทั่ง อีกทั้งพื้นที่จัดการชุมนุมต้องไม่อยู่ใกล้กับกลุ่มที่มีความเห็นต่าง และชุมนุมอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ต้องจัดพื้นที่ให้นักศึกษาประชาชนได้แสดงออก ได้รับรู้ข่าวสารข้อท็จจริง โดยดูแลความปลอดภัย ไม่ให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาสร้างสถานการณ์ความรุนแรง การบังคับใช้กฎหมายในการชุมนุมต้องไม่สร้างความรู้สึกหวาดระแวงหรือทำให้ผู้ชุมนุมรู้สึกว่าถูกรังแก เพราะจะเป็นชนวนให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรจัดเวทีแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็น ให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสผลักดันข้อเรียกร้องต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ให้เขาได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศ เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
“การที่เยาวชนตื่นรู้ทางการเมืองนั้นถือเป็นเรื่องดี แม้จะยังไม่มีประสบการณ์ คือจากประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นเราทำให้รู้ว่ามันอาจจะมีสถานการณ์บางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น อยากให้เยาวชนนิสิตนักศึกษาไปสื่อสารกันในกลุ่มให้ระมัดระวังการแสดงความเห็นที่ไปกระทบจิตใจประชาชน อย่าใช้ถ้อยคำหรือแสดงท่าทีที่ก้าวร้าว ยั่วยุ เพราะอาจเป็นชนวนที่นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งจะทำให้ความพยายามในการขับเคลื่อนทั้งหมดสูญเปล่า” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ระบุ
สำหรับปรากฏการณ์ “ชูสามนิ้ว” หลังเคารพธงชาติเพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของนักเรียนระดับมัธยมหลายๆโรงเรียน ซึ่งมีทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเสียงสนับสนุนนั้น นายทัตเทพ มองว่า การแสดงออกของเยาวชนที่จะไม่ยอมจำนนต่อระบบอำนาจนิยมเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นครูที่โรงเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปจนถึงรัฐบาล ต้องทำความเข้าใจและยอมรับในมุมมองความคิดของเยาวชน การที่ครูหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปลงโทษหรือจัดการกับเด็กที่แสดงออกทางการเมืองด้วยท่าทีรุนแรงจะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าอำนาจนิยมเป็นระบบที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ดังนั้น ควรเปิดใจรับฟังและพูดคุยกันด้วยเหตุผล