จากกรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 11 คน ไว้ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2566 หลังจากบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด(มหาชน) โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้ลูกหนี้ทั้งสิบเอ็ดล้มละลาย เนื่องจากไม่สามารถจ่ายค่าเสียหายจำนวน 500 ล้านบาทจากการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองในปี 2551 ตามที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาได้
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ในฐานะอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าวในรายการ
“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ถึงเรื่องดัีงกล่าว ว่าคดีนี้เป็นคดีที่การท่าอากาศยานไปฟ้องศาลแพ่งว่าเราทำให้การท่าอากาศยานเสียหาย จึงเรียกร้องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เราแพ้แล้วพิพากษาให้เราทั้ง 11 คนร่วมกันจ่ายเงิน 500 ล้านบาท ศาลอุทธรณ์ยืนยังให้จ่าย 500 ล้านบาทเหมือนกัน มาถึงศาลฎีกา ศาลสุดท้ายท่านก็ยืน ให้จ่าย 500 ล้านบาท
พวกผมคงไม่มีเงินไปจ่ายหรอกครับ เพราะว่าสิ่งที่ผมทำนั้น ผมยังมั่นใจว่า คำพิพากษานั้นได้ตั้งธงไว้เรียบร้อยแล้ว โดยทางศาลเป็นคนตั้งธงมา ว่าต้องเล่นงานพวกนี้ให้หนัก แล้วก็ไม่ใช่เป็นการล้มหลายครั้งแรกของ นี่เป็นการล้มละลายครั้งที่ สอง
“ครั้งแรก ผมล้มละลายเมื่อประมาณปี 2541 ตั้ง 20 กว่าปีแล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง บริษัทในเครือ หรือบริษัทต่างๆ ทั่วประเทศไทยต่างเดือดร้อนกันหมด ล้มละลายกันเป็นแถว บริษัทที่ผมทำอยู่ก็ไม่พ้นก็เลยต้องล้มละลายตาม
“ครั้งนี้ก็ไม่พ้นอีกเหมือนกัน เพราะว่าพวกเราไม่มีเงินไปจ่ายหรอกครับ เงินตั้ง 500 ล้านบาทแล้วศาลท่านไม่พิจารณาข้อสู้ของพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านมีธงของท่านอยู่แล้ว ไม่เป็นไรท่านผู้ชมครับ
“ผมเสียใจไหม ผมไม่เสียใจหรอกเรื่องนี้เพราะว่าเราสู้กันเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ตอนที่ผมล้มละลายครั้งแรกนั้นมีอาจารย์ปุ๊ อาจารย์จันทร์ทิพย์ (ภรรยา) เป็นคนดูแลผม เลี้ยงดูผมพออาจารย์ปุ๊ไม่อยู่ เสียชีวิตไปแล้ว ผมออกมาจากเรือนจำ คนที่ดูแลผมต่อมาก็คือลูกชาย โชคดีที่ผมมีลูกชายที่กตัญญู คือคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล
สนธิ ลื้มทองกุล ล้มละลายมา 2 ครั้งในชีวิต โดนยิงมา 200 นัด ติดคุกติดตะรางมาแล้ว ท่านผู้ชมว่าผมได้ชดใช้หนี้แผ่นดินมากพอหรือยัง ผมว่ามากพอแล้วนะ สำหรับมนุษย์คนหนึ่งอย่างผม
“ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้น้อยอกน้อยใจเลยสักนิด ถือว่ามันเป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบ แล้วผมไม่เสียใจเหมือนกับที่คุณศิริชัย ไม้งามพูด ไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“สิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือปัญญาของผม เอาปัญญามาให้ท่านผู้ชม ได้มากน้อยแค่ไหนนั่นคือสิ่งที่ผมจะทำก่อนที่ผมจะตาย เพราะว่า ผมมีทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด และไม่มีใครเอาไปได้ ท่านผู้ชมรู้ไหมมันคืออะไร ใจผม ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ไม่มีใครเอาไปได้ เสียอะไรเสียไปรักษาใจให้ดี” นายสนธิกล่าว