ข่าวประจำวัน » ระวังรัฐประหาร ! จตุพร เตือน เพราะนักโทษเทวดาเป็นเหตุ เข้าเงื่อนไข

ระวังรัฐประหาร ! จตุพร เตือน เพราะนักโทษเทวดาเป็นเหตุ เข้าเงื่อนไข

26 December 2023
478   0

26 ธ.ค.2566- นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร อ้างป่วยพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นานกว่า 120 วันแล้ว แต่ยังไม่ถูกส่งตัวกลับเข้าเรือนจำ ไปรักษาและคุมขังที่ รพ.ราชทัณฑ์ ยิ่งทำให้ความไม่พอใจของประชาชนลุกลามขยายวงทวีกว้างขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน

นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณ จะถูกคุมขังที่บ้านหรือไม่นั้น เมื่อระเบียบราชทัณฑ์เปิดให้ทำได้อยู่แล้ว แต่จะกล้าหรือไม่ เพราะตั้งแต่ระเบียบราชทัณฑ์ออกมาเมื่อ 6 ธ.ค. 2566 ทักษิณสามารถออกไปอยู่ได้บ้านทุกวัน แต่คงไม่ง่ายกับการท้าทายอารมณ์ของประชาชนที่ทวีเพิ่มความสงสัยมากขึ้น

อีกทั้งกล่าวว่า หลังถูกยึดอำนาจเมื่อ 2549 ทักษิณ ลี้ภัยการเมืองอยู่ต่างประเทศกว่า 15 ปี ผ่านการดีลสารพัดเพื่อต้องการกลับไทยให้ได้ เมื่อโอกาสเปิดให้จึงได้กลับมาในวันที่ 22 สค. 2566 พร้อมกับรับสารภาพความผิดกับพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่อ้างป่วยเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ จนถึงขณะนี้

นายจตุพร ย้ำว่า หลังถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 ทักษิณ เป็นนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมีประชาชนหนุนหลังมาร่วมต่อสู้ด้วยมากมาย เพราะเชื่อว่าทักษิณไม่ผิด แต่ถูกการเมืองของคณะยึดอำนาจรังแก สำหรับประชาชนกลับติดคุก ชีวิตตัวเองและครอบครับป่นปี้ ส่วนทักษิณ กลับไทยได้ ก็ยอมรับความผิด ซึ่งผิดวิสัยนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย หากรักประชาธิปไตยจริงแล้ว ต้องสารภาพยอมรับคำตัดสินลงโทษ แต่ไม่ยอมรับการกระทำเป็นความผิด

“การรับสารภาพความผิด แล้วมาอ้างเป็นสาเหตุจากการยึดอำนาจ จึงเป็นเรื่องคนละตอน เมื่อมีคำพิพากษาแล้ว และคนที่มาต่อสู้บาดเจ็บล้มตายมากมายนั้นจะมากล่าวอ้างได้เหรอ ดังนั้น ถ้าทักษิณ ต้องการใช้ระเบียบราชทัณฑ์ ไปคุมขังที่บ้านก็เอาเลย จะได้รู้ว่าสังคมไทยคิดอะไรกับเรื่องนี้และจะได้รับรู้อารมณ์ประชาชนยิ่งขึ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า การที่ทักษิณ ไม่ยอมติดคุกสักวัน แต่ใช้อภิสิทธิ์คนป่วยไปนอนชั้น 14 รพ.ตำรวจจะกลายเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ และจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่รู้แบบไหน อาจจะจบลงแบบ 19 ก.ย 2549 หรือ 22 พ.ค. 2557 ย่อมเกิดขึ้นได้

“ทั้งสองชนวนการเปลี่ยนแปลงนั้น เกิดมาจากการระบาดทางอารมณ์ของประชาชน ซึ่งไม่แตกต่างกับขณะนี้ที่เริ่มเกิดเสียงดังมากขึ้นทุกขณะกับทักษิณนอนชั้น 14 โดยไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือไม่ แล้วกล้องวงจรปิด รพ.ตำรวจ เสียหมด ยิ่งเพิ่มเติมความสงสัยของประชานมากขึ้นไปอีก”

พร้อมทั้งกล่าวว่า ทักษิณ เป็นคนที่ได้รับโอกาสดีกว่านักโทษทั่วไป แต่กลับไม่ใช้เวลาที่ชีวิตเหลืออยู่แสดงให้สังคมเห็นว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แม้มนุษย์มีความไม่เท่ากันในด้านทรัพย์สิน แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สิ่งนี้ได้นับการปฏิบัติให้เท่ากันหรือไม่ สิ่งสำคัญเมื่ออภิสทธิ์ชนไม่ทำตามกฎหมายยิ่งเป็นการสร้างบาดแผลให้สังคมไม่พอใจยิ่งขึ้นไปอีก

“เมื่อทักษิณอยู่ รพ.ตำรวจจนครบ 120 วันแล้ว รมว.ยุติธรรมก็รับทราบ และรายงานให้นายกฯ ได้รับรู้ ต้องการทำให้บ้านเมืองอยู่กันแบบนี้เหรอ คิดว่าจะเอาอยู่เหรอ และที่เคยคิดว่าจะเอาอยู่มาหลายครั้งจนบ้านเมืองพังไปนั้น เพราะไม่เคยเอาอยู่กันได้เลย”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อประชาชนสงสัยทักษิณป่วยและรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจหรือไม่แล้ว ต้องพิสูจขน์ให้สังคมกระจ่างแจ้ง โดยนำผลการตรวจของแพทย์มารายงานเพราะเป็นนักโทษคนสำคัญ แต่กลับปิดบังเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังบอกกล้องวงจรปิดเสียหมด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้กับ รพ.ตำรวจที่ต้องคุมกัน รักษานักโทษคนสำคัญอยู่ โดยไม่ใช้โอกาสทำความจริงให้ปรากฎเมื่อมีคนสงสัยมากมาย เรื่องนี้ถ้าจัดการไม่ดี จะเป็นหายนะและลามเป็นจุดจบของรัฐบาลอย่างไม่น่าเชื่อเลย

ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลถูกศาล รธน.นัดวินิจฉัยคดีในวันที่ 17 และ 31 ม.ค. 2567 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าศาลตัดสินถึงขั้นยุบพรรคจะยิ่งทำให้พรรคก้าวไกลในนามพรรคใหม่ยิ่งเติบโตขึ้นมาก โดยผลโพลของนิด้าล่าสุดความนิยมในตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค และพรรคก้าวไกลมีมากถึง 44 % สูงกว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆหลายเท่าตัว

อีกอย่าง การยุบพรรคนั้น จะยิ่งทำให้พรรคก้าวไกลมีทีมหาเสียงเลือกตั้งใหม่ถึง 3 ชุด ซึ่งเป็นกลุ่มคนอยู่ในวัยหนุ่มสาวกันทั้งสิ้น สิ่งนี้จึงเหนือกว่าทุกพรรคการเมือง ดังนั้น การยุบพรรคก้าวไกลย่อมไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยอย่างยิ่ง.