ใส่ร้าย บิดเบือนคำพิพากษา ระวังคุก
ศาลรธน.ตัดสินให้พรรคก้าวไกล หยุดการกระทำ เพราะมีการนำ ม.112 มาหาเสียงช่วงเลือกตั้งตามคำร้องของโจร์ท อันขัดต่อรธน.ที่ห้ามนำกษัตริย์มาหาเสียง เพราะ ม.112 เป็นกฎหมายลูกของหมวดพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 6
มิใช่ห้ามแก้ไช ม112 ตามที่พวกบิดเบือนเอาใส่ร้ายศาล ใส่ร้ายสถาบันฯ มากล่าวอ้าง ในการโจมตี
ซึ่งทุกพรรคที่นำมาหาเสียง ไม่ว่าจะบวกหรือลบ ย่อมมีความผิด ตามรัฐธรรมนูญ มิใช่จะยุบเพียงพรรคใด พรรคหนึ่งเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันธ์ทุกองค์กร นั้นหมายถึง กกต. ตำรวจ สภา รัฐบาล ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จะต้องมีหน้าที่ ในการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดทุกฝ่าย ทุกพรรค ที่กระทำความผิด ตั้งแต่วันเลือกตั้ง
ที่จัดเวทีเสวนา ถกเถียง พูดคุย ทั้งบวก หรือลบ ซึ่งก่อนหน้านั้น คณะกรรมการเลือกตั้ง ได้เคยทำหนังสือเตือนไปยังทุกพรรคการเมือง ห้ามนำพระมหากษัตริย์มาหาเสียง หลังจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี พรรครวมไทยสร้างชาติเคยกระทำมา
แต่ยังคงมีพรรคการเมือง นำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาบดขยี่ นำมาเป็นประเด็นขัดแย้งทางการเมือง เพื่อหวังผลในอำนาจ ทำให้ประชาชนที่ไม่เข้าใจบริบททางการเมืองอย่างลึกซึ้ง เข้าใจว่า เก่ง กล้า เป็นประชาธิปไตย ที่กล้าใส่ร้าย ป้ายสี ลำอำนาจ พระมหากษัตริย์
ในรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เอาผิดกับผู้ใส่ร้าย บิดเบือนศาลรัฐธรรมนูญได้ ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2550
องค์กรที่รับผิดชอบ จึงควรพิจารณาบังคับใช้กฏหมาย เพื่อให้เกิดความเที่ยงธรรม ก่อนจะเกิดการลุกลาม เป็นการชุมนุมต่อต้าน เหมือนปี 2562 และ 2563 ที่ผ่านมา
“ การเมืองคือการแสวงหาอำนาจ นักการเมืองคือนักแสวงหาอำนาจ อำนาจที่ยิ่งใหญ่คืออำนาจการปกครองประเทศ ประชาชนจึงต้องรู้จักนักการเมือง และพรรคการเมืองอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะมอบอำนาจให้กับนักการเมือง ”
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
31 มกราคม 2567