ข่าวประจำวัน » พิธาหยุดปลิ้นปล้อน ! สนธิสุดทน เตือนพิธาหยุดทำได้แล้ว

พิธาหยุดปลิ้นปล้อน ! สนธิสุดทน เตือนพิธาหยุดทำได้แล้ว

27 January 2024
589   0

สนธิ” เตือน “พิธา” รอดคดีถือหุ้นสื่อ ควรเลิกโกหกปลิ้นปล้อน กลับเข้าทำหน้าที่ในสภา ชี้คำวินิจฉัยศาล รธน.แม้จะให้พ้นผิด แต่ได้เปิดเผยธาตุแท้ความกะล่อน อ้างว่าเป็นแค่ผู้จัดการมรดก ขายหุ้นออกไม่ได้ แต่พอเรื่องแดงกลับขายออกได้ทันที แถมโดนเตือนเรื่องคุยสื่อก่อนวันตัดสินกดดันศาล

https://youtube.com/watch?v=YvWu9XTakz0%3Fsi%3Do1hjVsXNjs3jmjcP

ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลไม่พ้นจากความเป็น สส. จากกรณีการถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด(มหาชน) เนื่องจากในวันที่ยื่นใบสมัคร สส.นั้นไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนใดๆ เพราะถูก สปน.บอกเลิกสัญญาและยึดคลื่นความถี่คืนตั้งแต่ปี 2550

ซึ่งภายหลังฟังคำวินิจฉัย นายพิธา ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ระบุว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคก้าวไกล ซึ่งตอนนี้มี นายชัยธวัช ตุลาธน นั่งหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำอยู่ พร้อมย้ำว่า ตนเองยังเป็นเคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ยังมีความหวังอยู่เสมอ แต่จะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลอีกครั้งหรือไม่แล้วแต่สมาชิกพรรคที่จะมีการประชุมใหญ่ช่วงปลายเดือน เมษายน 2567 นี้

อย่างไรก็ดี พรรคก้าวไกลยังมีคดีความให้ต้องลุ้นอีก คือ วันที่ 31 มกราคมนี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังวินิจฉัยคดีการหาเสียงด้วยนโยบายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่?

นายสนธิกล่าวว่าต้องขอแสดงความยินดีกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่สมปรารถนา ได้กลับเข้ามาโลดแล่นในสภาฯ อีกครั้ง แต่ไหนๆ ก็รอดแล้ว จึงอยากจะขออย่างหนึ่งคือให้หยุดโกหกได้แล้ว ที่ผ่านมานายพิธาโกหกจนได้ฉายา” พิธาคิโอ” มาแล้ว อาทิ

1.เรื่องมาตรา 112 สมัยหาเสียง ที่พรรคก้าวไกลอ้างว่า “แก้ไข” ไม่ใช่ “ยกเลิก” แต่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยปิดท้าย พอเด็กสามนิ้วให้เลือกแปะสติกเกอร์ข้าง “แก้ไข” หรือ “ยกเลิก” มาตรา 112 นายพิธาก็แสดงความกลับกลอก เลือก “ยกเลิก” ทันที เพื่อเอาใจเด็ก

2.อ้างว่าสมัยรัฐประหาร ปี 2549 ตัวเองโดนกักตัวมาไม่ทันงานศพพ่อ โดนอายัดบัญชีทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ บรรดา “ติ่ง” นายพิธาฟังแล้วก็สงสารจับใจแถมยังโกรธแค้นเกลียดชังคู่ต่อสู้ทางการเมืองของนายพิธา

3.พูดกลับกลอกเรื่องกัญชา ตอนแรกบอกสนับสนุนกัญชาเสรี เพื่อสันทนาการ เพราะตัวเองก็ใช้รักษาโรคลมชัก แต่พอวันหาเสียงก็ไปพูดกับ นายชูวิทย์ กมลวิศอษฏ์ ว่าไม่เอากัญชาเสรี ให้กลับไปเป็นยาเสพติด

4.อ้างว่าแก้หนี้บริษัทของครอบครัว 100 ล้านบาท แต่ความจริงเป็นตรงกันข้าม และเงินของบริษัทที่นายพิธาดูแลอยู่นั้นหายไป 100 กว่าล้านบาท

5.ปีที่แล้วนายพิธาก็ใส่เสื้อสีรุ้งไปออกงานบางกอกไพรด์ 2023 สร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่เคยสั่งอดีตภรรยาห้ามคบเพื่อนเพศที่สาม

นายสนธิ กล่าวอีกว่า จริง ๆ แล้วในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 ม.ค. แม้คำวินิจฉัยสุดท้ายจะเป็นคุณกับนายพิธา แต่เนื้อหาหลายส่วนของคำวินิจฉัยก็เปลือยตัวตน และธาตุแท้การเป็นคนกะล่อนของนายพิธาไม่ว่าจะเป็น การอ้างว่า หุ้นไอทีวีที่ตัวเองถือนั้นอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลก็ชี้ว่าฟังไม่ขึ้นเพราะสถานะของนายพิธานั้นเป็นทั้งผู้จัดการมรดก และเป็นทายาทที่มีสิทธิในมรดก

การอ้างว่าไม่ยอมโอนหุ้นออกตั้งแต่แรกในปี 2562 การก่อนการลงสมัครับเลือกตั้ง เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเรื่องแดงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม 2566 นายพิธากลับโอนให้น้องชายตัวเองได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว เป็นต้น

นอกจากนี้ที่สำคัญก็คือ ก่อนการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวชี้แจงถึงกระบวนการในการพิจารณาคดีนี้ว่า เรื่องที่หนึ่ง ศาลได้เคยแจ้งให้คู่กรณีฟังแล้วว่าในการไต่สวนพยานนี้ผู้ถูกร้องได้มีการขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหา 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งละ 30 วัน 2 ครั้งเป็น 60 วัน ซึ่งศาลก็ได้อนุญาต ทั้ง ๆ ที่ตามจริงแล้วคดีนี้ควรจะสิ้นไปก่อน 60 วันที่แล้ว ทำความเข้าใจร่วมกันไม่ใช่ว่าศาลล่าช้า

เรื่องที่สอง ศาลขอแจ้งต่อคู่กรณีว่า การที่นายพิธา ไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีในสื่อต่างๆ นั้น ถือว่าเป็นการไม่สมควรและไม่เหมาะสม เพราะการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะบวกหรือลบก่อนคดีที่ศาลอาจจะเป็นการชี้นำเป็นการกดดันศาล ฉะนั้นการกระทำนี้จึงถือว่าไม่เหมาะสม จึงขอเตือนไว้ด้วย

คำเตือนอันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ใส่ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในข่าวเผยแพร่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ด้วยระบุว่ “อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คู่กรณีไม่สมควรแสดงความคิดเป็นเกี่ยวกับคดีเพราะอาจจะเป็นการชี้นำคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญได้”


“คุณพิธา ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย ให้กลับตัวกลับใจซะเถอะ เลิกสร้างภาพ เลิกโกหก ปลิ้นปล้อน ตอแหลเสียที กลับไปทำหน้าที่ที่คุณควรจะทำ


“เพราะไม่มีอะไรถูกต้องเท่าธรรม เพราะธรรมคือความจริงที่มีหนึ่งเดียว ที่คุณโกหก สร้างภาพ ตอแหลอะไรก็ได้ เพราะคิดว่าเอฟซีของคุณจะหลงเชื่อ แต่อย่าลืมว่าถ้าคนพวกนี้หลงเชื่อ ก็แปลว่าคุณจะได้แค่พวกติ่งโง่ ๆ ไปสนับสนุนคุณ” นายสนธิกล่าว